Home > ธรรมะ&คำสั่งสอน > ย้อนรำลึก…พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯสนทนาธรรมกับหลวงตามหาบัว

ย้อนรำลึก…พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯสนทนาธรรมกับหลวงตามหาบัว

ย้อนรำลึก…พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯสนทนาธรรมกับหลวงตามหาบัว



ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย…ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       ในหนังสือหลวงตามหาบัว มหัศจรรย์มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวไว้ว่า ในตอนเช้าของวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้สั่งกำชับพระเณรในวัดว่า
       
        “วันนี้ จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบร้อย อย่าให้บกพร่อง” 
       
       พระทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมานมัสการหลวงตามหาบัวฯ
       
       เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จไปที่วัดป่าบ้านตาด เพื่อกราบนมัสการองค์หลวงตาโดยเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ จากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นการส่วนพระองค์ โดยไม่มีทหารคนใดได้ล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อน ทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวเป็นการโกลาหลว่า เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก ไม่รู้ว่าเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ใด
       
       หลวงตาจึงให้โอวาทว่า “มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จมาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ถ้าพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?”
       
       “กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา” 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสพร้อมพนมพระหัตถ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
       
        “รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ” 
       
       ทรงถวายผ้าห่มและไทยทานอื่นๆ มากมาย พร้อมกับปัจจัย 3 หมื่นบาท โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนได้ถวายธรรมะหลายประการ
       
       7 มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชย์รัชมังคลาภิเษกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใดในประวัติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาให้ร่วมงานบำเพ็ญพระราชกุศลในงานพระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติ รัชมังคลาภิเษก ด้วยพระองค์เอง ซึ่งปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยได้ไปไหน
       
       พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกราบหลวงตาเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ถวายคำถามแรก (พระเจ้าอยู่หัวเรียกหลวงตาว่า “หลวงปู่” )
       
       “หลวงปู่… สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร”
       
       หลวงตาตอบว่า… “พุทธภูมิ ก็เหมือน ดั่งเรานั่งรถไฟนั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไปอุดรนั่นแหละพุทธภูมิแต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่นแหละ สาวกภูมิเพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการนำคนไปได้เยอะ ๆ ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิเข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง”
       
       พระเจ้าอยู่หัวฯทรงตอบหลวงตาว่า “เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะหลวงปู่”
       
       หลวงตาตอบ :”อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละรู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะแต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละแต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาดนี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน”

       
       เมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า)ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่
       
       หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า… “พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ขอเองได้” ท่านว่างั้นนะ…”พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง”ท่านบอกไปเลยนะว่า…ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเองจัดการเองจัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก
       
       พระเจ้าอยู่หัวฯได้กราบลาว่า “เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้วท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม”
       
       หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า:
       
       “การเป็นพุทธภูมิสร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ 5 คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไปตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดาพอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้ แต่…ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไรทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ …อาตมาจะให้พร”
       
       สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ได้ทรงงานอย่างหนักดังที่หลวงตาได้เทศน์นั้น หลวงตามหาบัวได้เคยแสดงธรรมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ความตอนหนึ่งว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่พึ่งอันเอกอุ ดังพระธรรมเทศนาในวันที่ 31 มกราคม 2544 มีใจความว่า
       
       “ประเทศไทยของเรานี้ มีทั้งพระพุทธศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ รวมแล้วเป็นศาสนาเอกในโลก เราก็ได้ระลึกเป็นขวัญตาขวัญใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดวงศ์กษัตริย์ทุกๆ พระองค์ ก็เป็นเหมือนมหาพรหม ร่มโพธิ์ร่มไทรอันใหญ่หลวง แห่งประเทศไทยของเรา ซึ่งป็นของเคียงคู่กันเป็นเวลานาน
       
       มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หนึ่ง มีพระมหากษัตริย์ประทานความร่มเย็นให้แก่ไพร่ฟ้าประชาชีทั้งหลายตลอดมา หนึ่ง นี่เรียกว่าพี่น้องชาวไทยเราได้ที่พึ่งอันเอกอุ จึงขอให้ได้มีความเคารพนับถือบูชาทั้งฝ่ายศาสนธรรม ทั้งฝ่ายองค์กษัตริย์ท่าน ให้มีความเคารพเป็นคู่เคียงกัน จะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องชาวไทยเราตลอดไป…
       
       นี่มีตั้งแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอันยิ่งใหญ่ นับแต่พระพุทธศาสนาลงมาถึงวงศ์กษัตริย์ของเรา ล้วนตั้งแต่น้ำอันเย็นฉ่ำที่สำหรับชะล้างจิตใจของเราที่แข็งกระด้างกระเดื่องไปด้วยบาปด้วยกรรม ให้มีความอ่อนโยนนิ่มนวล เคารพนบน้อม กราบไหว้ท่านผู้เลิศเลอคือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และองค์พระมหากษัตริย์ ตลอดวงศ์สกุลกษัตริย์เรื่อยมา
       
       อย่างนี้เรียกว่า พวกเราทั้งหลายมีที่อบอุ่น ถ้าต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ที่มีใบหนาให้ความร่มเย็นแก่เราทั้งหลาย เวลาเดือดร้อนวิ่งเข้าร่มไม้ก็ชุ่มเย็นเป็นสุข นี่เวลาคิดถึงที่พึ่งที่เกาะ มุ่งคิดไปทางศาสนาก็คือ ธรรม คิดมาทางบ้านเมืองก็คือ วงศ์กษัตริย์ ล้วนแล้วตั้งแต่ให้ความร่มเย็นแก่พี่น้องทั้งหลายเราเป็นลำดับมาอย่างนั้น
       
       จึงขอให้พี่น้องทั้งหลาย ได้ระลึกธรรมทั้งสองประเภท คือ วงศ์กษัตริย์ หนึ่ง พระพุทธศาสนา หนึ่ง ให้เข้าครองภายในจิตใจ จะเป็นเหมือนว่าเรามีพ่อมีแม่ ไปที่ไหนอบอุ่น ผิดกับลูกกำพร้าเป็นไหนๆ …
       
       นี่เรามีทั้งเกาะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา หมุนไปทางศาสนาก็เป็นธรรมอันเลิศเลอ หมุนไปทางพระมหากษัตริย์ ท่านก็ทรงเลิศเลอด้วยคุณธรรมมาเล้วไม่มีใครเสมอเหมือนแล้วแหละสำหรับเมืองไทยเรา ในการที่ทรงสนใจต่อพระพุทธศาสนา พระองค์มอบทุกสิ่งทุกอย่างกับพระพุทธศาสนา เป็นต้นมา จึงเรียกว่าเป็นน้ำอันเย็นฉ่ำแก่พี่น้องชาวไทยเรา ขอให้ยึดหลักทั้งสองประเภทที่เลิศเลอนี้ไว้ เป็นขวัญตาขวัญใจของเรา”
       
       ธรรมะของหลวงตามหาบัวยังคงดำรงในสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า สถาบันชาติดำรงความเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะมีศาสนาที่มีธรรมอันเลอเลิศ และพระมหากษัตริย์ที่ทรงเลอเลิศด้วยคุณธรรมอย่างที่ไม่มีใครเสมอเหมือน
       
       พสกนิกรชาวไทยจึงถือว่าโชคดีมีบุญ ที่ได้เกิดมาในแผ่นดินที่มีพระพุทธศาสนา และเกิดมาในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม ได้มีโอกาสความเคารพนับถือและปฏิบัติบูชาทั้งต่อทั้งศาสนธรรมและพระมหากษัตริย์ตามคำสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

Blogged with the Flock Browser
  1. No comments yet.
  1. No trackbacks yet.

Leave a comment